“ไอ้รูญ”
ผมรีบบอกกับเพื่อนสนิทที่เช่ารูหนูสับปะรังเคอยู่ด้วยกัน ในเช้าตรู่วันหนึ่งซึ่งอาการแฮงค์โอเวอร์ ยังไม่ลาจากไป
“แม่กูจะมาเยี่ยมว่ะ”
“เมื่อไหร่วะ” ไอ้รูญงัวเงียส่งเสียงตอบรับ
“ไม่รู้ดิ แต่คงเป็นในอาทิตย์นี้แหละ…ทำไงดีวะ”
เราสองคน ผมกับไอ้รูญ ที่ถูลู่ถูกัง สอบผ่านม.6 มาได้อย่างเฉียดฉิวเต็มแก่
ผลสอบเอนทรานซ์แทบไม่ต้องไปดูก็พอจะคาดเดาเอาได้ว่า
โอกาสที่จะเห็นทั้งชื่อของมันและผมบนบอร์ดประกาศผลสอบเป็นไปได้ยาก
รามคำแหง จึงเป็นทางเลือกที่เราทั้งคู่รู้แน่อยู่แก่ใจตั้งแต่ยังไม่ลงมือสอบเอนทรานซ์เสียด้วยซ้ำ
เราแยกกันเรียนคนละคณะ ผมเรียนรัฐศาสตร์ ในขณะที่ไอ้รูญเลือกนิติ
ปีแรกในกรุงเทพฯ เด็กที่มาจากชนบทในต่างจังหวัดอย่างเรา ต้องใช้เวลาปรับตัวค่อนข้างมาก
แสงสีศิวิไลที่เคยเห็นแต่ในภาพยนต์และโทรทัศน์
บัดนี้ มลังเมลืองอยู่ตรงหน้า
เราลงทะเบียนเรียน และหาที่พักราคาถูกอยู่แถว ๆ หอพักหน้ามหาวิทยาลัย
อาศัยร้านอาหารเล็ก ๆ ที่เราค่อย ๆ สนิทกับลุงเจ้าของร้าน เป็นที่ฝากกระเพาะ
นาน ๆ เข้า ก็กลายเป็นที่พึ่งพาอาศัยยามที่เงินขาดมือ เพราะทางบ้านส่งมาให้ไม่ทัน
ด้วยความเป็นคนต่างจังหวัดและมาจากภาคเดียวกัน ลุงนก เจ้าของร้าน เอื้อเฟื้อพวกเราเสมอมา
สองปีผ่านไป ผมกับไอ้รูญ กลายเป็นหนุ่มกรุงเทพฯ เต็มตัว
อาการเหรอหรา เซ่อซ่า หายไป
จากเด็กบ้านนอกหัวเกรียน แต่งตัวเชย กลายเป็นหนุ่มผมยาวตามสมัย
แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าและแฟชั่นที่แสดงความเป็นตัวตนของเราเอง
ไอ้รูญและผม ต้องการใช้เงินมากขึ้นกว่าเดิม มากกว่าที่ทางบ้านส่งมาให้
เมื่อความต้องการและความจำเป็นในการใช้เงินมากขึ้น
ผมกับไอ้รูญจึงจำเป็นต้องหางานพิเศษทำ
เริ่มต้นด้วยเป็นลูกจ้างขายชีตเฉลยข้อสอบหน้ามหาลัย
นานเข้า เราก็พบว่างานเดินโพยโต๊ะบอลได้เงินมากกว่า
สบายกว่า และไม่ตรากตรำกรำแดดเหมือนงานเฝ้าแผงขายชีตเฉลยข้อสอบ
นอกจากเดินโพยแล้ว เราทั้งคู่ยังต้องทำหน้าที่เก็บเงินจากลูกค้าเพื่อส่งให้เจ้ามือ
และ แน่นอน งานทวงหนี้ บางครั้งก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่ต้องใช้ความรุนแรงกันบ้าง
จากเด็กเดินโพย…
ผมกับไอ้รูญ พัฒนามาเป็นมือทวงหนี้พนัน
มีลูกน้อง มีเงิน มีคนรู้จัก และมีคนเรียกเราว่า "พี่" มากขึ้น
เราเที่ยวเตร่มากขึ้น ใช้เงินมือเติบขึ้น
มีรถขับ ย้ายไปเช่าคอนโด ที่ดูดี และสุขสบายกว่าเดิม
มีเงินเลี้ยงลูกน้อง และแจกทิปเด็กเสิร์ฟ
ผับและบาร์ เป็นที่สิงสถิตของเรามากกว่าห้องเรียน
เรียนมาสองปี หน่วยกิตเดินหน้าไปไม่ถึงสามสิบหน่วย
ไม่เป็นไร…รามคำแหง เรียนยังไงก็ได้ ไม่มีใครว่า
เราทั้งคู่ ส่งข่าวบอกทางบ้านว่า ไม่ต้องส่งเงินมาให้เราแล้ว
ผมโกหกทางบ้านไปว่า ผมสมัครเข้าทำงานเป็นลูกจ้างชั่วคราว ในหน่วยงานพัฒนาชนบท
ส่วนไอ้รูญ โกหกว่า มันฝึกงานในสำนักงานทนายความ มีเงินเดือนกิน
เมื่อต้นปีที่ผ่านมา
ตำรวจกวาดล้างโต๊ะพนันบอล
ลูกพี่ใหญ่ต้องวางมือชั่วคราว
โต๊ะสาขาอย่างพวกเรา ต้องปิดตัวเอง
ไม่มีงานให้ทำ ไม่มีเงินฟุ่มเฟือยเหมือนแต่ก่อน
ไม่มีเงินผ่อนรถ ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าคอนโด
รถถูกยึด
ย้ายออกจากคอนโด มาเช่ารูหนูอยู่แถวๆละแวกเดิม
ลุงนก ไม่ให้เรายืมเงินอีกแล้ว
ผมและไอ้รูญ หาเหตุผลต่างๆนานา เพื่อจะขอเงินจากทางบ้าน
ตั้งแต่ อ้างว่า ต้องตัดเสื้อผ้าทำงาน
ต้องซื้อคอมพิวเตอร์เพื่อใช้ในการเรียนและทำงาน
ต้องเสียค่าหน่วยกิต
ต้องลงทะเบียนบัณฑิต และค่าชุดครุย
โกหกว่า เรากำลังจะจบ และต้องใช้เงินมาก
แม่ส่งเงินมาให้ผมทุกครั้งที่ผมขอไปตลอดปีกว่าๆที่ผ่านมา แม้จะไม่เต็มจำนวน
จนกระทั่งครั้งสุดท้าย แม่ส่งจดหมายมาว่า
คงไม่มีเงินส่งมาให้อีกแล้ว เพราะสวนปาล์มได้ถูกยึดไปแล้ว
เพราะเอาไปจำนอง
และน้องๆ ต่างก็ต้องออกจากโรงเรียนไปทำงานกันหมดแล้วทุกคน
พ่อหงุดหงิดบ่อยและเอาแต่กินเหล้า อมทุกข์
แม่อยากเข้ามาหาผม เพื่อชื่นชมกับความสำเร็จของผม
อยากมาพักอยู่กับผมสักพัก เพื่อความสบายใจ
อยากมาเห็นงานรับปริญญาของผม
ด้วยเงินก้อนสุดท้ายที่เจียดเอาไว้
"กูจะทำยังไงดีวะ ไอ้รูญ"
น้ำเสียงของผม คงส่อความกังวลชัดเจน จนไอ้รูญผงกหัวขึ้นมามอง
"กูจะทำไงดี"
"แม่มึงบอกป่าว ว่าจะมาเมื่อไหร่"
"แกไม่ได้บอกว่ะ บอกแค่ว่า จะมาคนเดียว" ผมตอบ "แกจะไปหาน้ากูก่อน น้ากูอยู่กรุงเทพ แล้วค่อยมาหากู เพราะแกไม่รู้จักบ้านที่เราอยู่"
"อือม์ …มึงไม่ต้องกังวล เดียวกูช่วย" ไอ้รูญปลอบใจ ซึ่งก็ไม่ช่วยอะไรมากนัก
สองวันต่อมา เรายังหาเงินได้ไม่มากนัก
ไม่พอค่ามัดจำบ้านเช่าที่พอจะดูได้
ไม่พอจะซื้อคอมพิวเตอร์มือสองซักเครื่อง เพื่อเอามาตั้งไว้ให้ดูสมจริงสมจังกับที่โกหกแม่เอาไว้
ไม่พอที่จะหาซื้อข้าวของเครื่องใช้ ให้ดูเหมือนกับ คนที่ตั้งใจเรียนมาตลอดที่เข้ามหาวิทยาลัย
ผมเริ่มเดินสายไปหาลูกพี่ และขาใหญ่หลาย ๆ คนที่เคยใช้เราทำงาน
ไถเงินเอาดื้อ ๆ บ้าง ยืมบ้าง ก็ได้มาจำนวนหนึ่ง ไม่มากนัก
จนกระทั่ง……
เช้ามืดของวันหนึ่ง
ไอ้รูญ เพิ่งกลับเข้ามา ไม่รู้มันไปไหนมาทั้งคืน
"อ่ะ กูเอามาให้มึง"
แล้วมันก็โยนกระเป๋าเงินใบเล็กๆใบหนึ่งให้ผม
มันเป็นกระเป๋าพลาสติกราคาถูก ที่ไม่น่าสนใจอะไรมากนัก
ผมรีบเปิดกระเป๋าดูทันที
ในนั้น มีเงินอยู่ หมื่นกว่าบาท
สร้อยคอทองคำหนักซักบาทนึงเห็นจะได้ พร้อมหลวงพ่อทวดเลี่ยมทององค์นึง
"เฮ้ย….มึงไปเอามาจากไหนวะ ไอ้รูญ"
"เออน่า กูให้มึงก็แล้วกัน รีบไปจัดการซะ แม่มึงจะมาวันนี้พรุ่งนี้แล้วไม่ใช่เหรอวะ"
"อือม์ งั้นกูเอาทองไปขายก่อน พระนี่ เก็บไว้นะ กูขอเอาให้แม่ แม่กูชอบหลวงพ่อทวด เดี๋ยวสาย ๆ กูมา"
"ไอ้ห่า มึงไม่ต้องรีบ มึงหาซื้อข้าวของมาเลย กูจะนอน เมื่อคืนไม่ได้นอนเลย ตระเวนหาทั้งคืน เพิ่งเจอเหยื่อเมื่อเช้ามืดนี่เอง"
ไอ้รูญผลัดกางเกงเป็นผ้าขะม้า เตรียมตัวอาบน้ำ พร้อมสาธยายให้ฟัง
"กูเห็นเดินเงอะงะอยู่คนเดียว ก็เลยเอามีดจี้ แม่ง เสือกร้องให้คนช่วย"
ไอ้รูญเล่าพลาง ส่ายหัวเซ็งๆ
"กูเลยจำเป็นต้องเสียบแม่งซะทีนึง เซ็งจริงๆ"
ไอ้รูญบอกผมหน้าตาเฉย
"มึงรีบไปเหอะ กูจะนอนแล้ว"
"เออ ๆ งั้นกูกลับมาตอนบ่ายๆ กูจะซื้อของกินมาด้วย หายเครียดแล้วโว้ย"
ผมรวบรวมเงินและสร้อยใส่กระเป๋ากางเกงแล้วโยนกระเป๋าสตางค์ซิปรูดราคาถูกใบนั้นลงถังขยะไป
ข้าวของถูกตระเตรียมเป็นที่เรียบร้อย ทั้งหนังสือเรียน ที่ผมขนมาจากร้านหนังสือมือสอง แถวสวนจตุจักร
คอมพิวเตอร์มือสองเครื่องหนึ่ง ราคาเจ็ดพันกว่าบาท แม่คงไม่รู้ราคาของมันหรอก
เสื้อเชิ้ตสามตัว กางเกงสอง และรองเท้าทำงานอีกคู่นึง
ตอนนี้ ผมพร้อมแล้ว ที่จะต้อนรับแม่
สองวันผ่านไป…
ผมคลายความกังวลเรื่องการเตรียมต้อนรับแม่
เหลือแต่ว่า แม่จะมาเมื่อไหร่เท่านั้น
ผมเดินออกไปกินก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอย
ขากลับแวะร้านหนังสือ เพื่อยืนอ่านหนังสือและดูรูปสวย ๆ ประเภท ฟอร์เมน หรือเพนท์เฮ้าส์ เพื่อแก้เซ็ง
สายตาก็บังเอิญเหลือบไปเห็นข่าวไทยรัฐ
กรอบข่าวเล็กๆที่ดูไม่สำคัญนัก มีเนื้อข่าวอยู่สองสามบรรทัด และรูปเจ้าหน้าที่มูลนิธิกำลังยกศพ
"หญิงชราเหยื่อทรชนปล้นรับอรุณ ลงจากรถไฟโดนแทงตายหน้าหัวลำโพง"
ผมเย็นวูบตั้งแต่ฝ่าเท้าวิ่งไปจนถึงกลางกระหม่อม
หนังสือหล่นจากมือ
หลุดปากออกมาคำเดียว
"แม่ !!"
โดย ก้อกูเองไงเล่า
ยิ่งอ่าน ยิ่งคิดถึงคนที่อยู่ทางบ้าน
https://shope.ee/8UhpVkFoIK
อ่านแล้วคิดถึงแม่