ผมเก็บกระเป๋าเสร็จเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงสบู่และแปรงสีฟันในห้องน้ำที่ผมจะต้องใช้อีกครั้งก่อนเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม
วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่ผมจะอยู่ในมะละกา หลังจากใช้เวลาที่นี่มาสี่วันเต็ม
เมมโมรี่การ์ด 16 Gb ในกล้อง Canon ตัวโปรดเต็มไปแล้วหนึ่งตัว จากการที่เดินตระเวนถ่ายรูปตลอดสี่วัน ในเมืองมรดกโลกแสนสวยเมืองนี้
ผมยังมี 8 วันข้างหน้าที่กัวลาลัมเปอร์และเฟรเซอร์ฮิลล์รอผมอยู่
รถบัสคันนั้นใช้เวลาเกือบ 4 ชั่วโมง ผมออกเดินทางจากสถานีรถโดยสารมะละกาเข้าสู่ชานเมืองกัวลาลัมเปอร์
จากนั้นผมจับรถไฟใต้ดินสายหนึ่งเดินทางเข้าสู่ใจกลางกัวลาลัมเปอร์
5-6 ปีที่ไม่ได้มายังเมืองหลวงแห่งนี้ สร้างความแปลกตาและแปลกใจให้ผมพอสมควรทีเดียว
ภาพจำของเมืองที่อยู่ในความทรงจำไม่ได้ช่วยทำให้ผมเข้าใจภาพที่อยู่ตรงหน้าเลย
หลายอย่างเปลี่ยนไป ถนนและเส้นทางเดินรถเพิ่มเติมเข้ามามากมาย
ความเคลื่อนไหวในย่านการค้าเพิ่มมากขึ้นจนดูสับสนวุ่นวาย
โรงแรมที่ผมเลือกและคิดว่ามันอยู่ในย่านที่สงบเงียบ กลายเป็นย่านธุรกิจที่มีความเคลื่อนไหวสูง
วันนี้ผมมีนัดที่จะไปพบกับเพื่อนคนหนึ่ง ที่มาทำมาหากินด้วยการเป็นนักดนตรีเล่นในผับในย่านหรูหราของเคแอล
มันทำงานดึกและนอนตื่นสาย การนัดพบของเราจึงต้องเป็นช่วงบ่ายแก่ๆ
ผมใช้เวลาช่วงเช้าและทานอาหารกลางวันที่ตึกแฝดเปโตรนาส
ก่อนจะกลับไปโรงแรมอีกครั้งเพื่ออาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าและมุ่งหน้าไปหาเพื่อนตามนัด
สถานีรถไฟใต้ดินคลาคล่ำไปด้วยผู้คนรอบสถานี และปากทางเข้าเต็มไปด้วยขยะและความสกปรก
ผมต้องจับรถไฟสายสีเหลืองเดินทางไปอีก 9 สถานีเพื่อพบกับเพื่อน
และขบวนรถของผมต้องลงบันไดเลื่อนลงไปใต้ดินถึง 3 ชั้น
ผมกดตั๋วจากตู้อัตโนมัติผ่านประตูตรวจตั๋ว
แล้วเข้าไปรอรถในชานชาลาที่อับทึบนั้นด้วยความรู้สึกไม่ปลอดโปร่งเท่าใดนัก
ไม่ช้าขบวนรถไฟของผมก็เข้ามาเทียบชานชาลาตรงเวลาที่ประกาศไว้
บนรถมีคนค่อนข้างมาก ไม่มีที่นั่งว่าง แต่ก็ไม่ถึงกับแน่นมาก
อาจเป็นเพราะเรายังไม่ได้วิ่งเข้าสู่ศูนย์กลางของเมืองหลวง
รถไฟวิ่งไปได้เพียงสองสถานี ก็มาถึงสถานที่อีกแห่งหนึ่ง
สังเกตได้ว่าน่าจะเป็นย่านการศึกษาเพราะผู้โดยสารที่ยืนรออยู่บนชานชาลานั้น ล้วนแต่เป็นเรียนนักศึกษาเป็นส่วนใหญ่
ประตูรถเปิดออก แทบไม่มีคนลงจากรถ
บรรดาผู้โดยสารที่รอรถอยู่บนชานชาลานั้น ต่างพากันเบียดเสียดขึ้นมาบนรถจนแน่นเป็นปลากระป๋อง
รอบตัวผมส่วนใหญ่เป็นชาวมาเลเซีย สังเกตได้ง่ายจากหน้าตาและภาษาพูด
มีทั้งหน้าแบบแขก และหน้าตาแบบจีน มีทั้งอินเดีย
แล้วถ้าผมไม่ได้อุปาทานไปเอง ผมว่าเขาไม่ได้มองผมด้วยสายตาที่เป็นมิตรเท่าไหร่
ซึ่งผมก็ไม่แปลกใจ เพราะพบว่าคนมาเลเซียไม่ชอบขี้หน้าคนไทยเท่าไหร่นัก ตั้งแต่ตอนผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองมาแล้ว
รถกระชากตัวออกจากสถานี และค่อย ๆ เร่งความเร็วขึ้นเรื่อย ๆ
ที่นี่สถานีรถไฟฟ้าใต้ดินไม่ได้อยู่ใกล้กันมากนักเหมือนในกรุงเทพ
แต่ละสถานีใช้เวลาเดินทาง 15 ถึง 20 นาที
และสถานีต่อมาก็ยังคงเป็นพวกนักเรียนนักศึกษาที่รออยู่บนชานชาลา
ถึงตอนนี้ผมพบว่ารถที่แน่นมาเมื่อสักครู่กลายเป็นแน่นมาก ๆ
พวกเด็กนักเรียนสาว ๆ ค่อย ๆ เลี่ยงที่จะเบียดเสียดกับชาวมาเลย์พื้นเมืองหน้าโหด ๆ เหล่านั้น
มาโหนรถอยู่ในโซนที่ผมยืนอยู่แทน
ถึงจังหวะนี้ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้แล้วที่ผมจะต้องยืนโหนรถและถูกเบียดโดยเด็กสาว ๆ พวกนั้น
หลายสถานีผ่านไป ความเบียดเสียดนั้นก็ไม่ได้ลดลงเลย
เด็กนักเรียนที่ดูจากเครื่องแบบและการแต่งตัวตลอดจนภาษาที่พูดกัน น่าจะเป็นนักเรียนจากโรงเรียนนานาชาติ
พวกเธอเหล่านั้นสื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ
หน้าตามีทั้งแบบจีน, ลูกครึ่งยุโรป และแบบเอเชีย
เพราะผมไม่สามารถจะมองวิวข้างนอกรถได้เลย และทำอะไรไม่ได้มากนักนอกจากจะพยายามยืนให้มั่นคง
ขืนตัวต้านแรงเหวี่ยงและกระแทกกระทั้นของขบวนรถ
ผมเริ่มหันมามองสิ่งที่อยู่รอบตัวผม
นักเรียนเหล่านั้นน่าจะเป็นนักเรียนมัธยมปลาย บางคนแต่งเครื่องแบบที่เป็นกระโปรงลายสก็อตเสื้อขาวและผูกเนคไท
บางคนแต่งชุดพละ นุ่งกางเกงขาสั้นและเสื้อยืดคอกลมแขนกุด
ยืนโหนราวอยู่ข้างหน้าผมไม่เกินฟุต
ตั้งหน้าตั้งตาส่งเสียงคุยกันหัวร่อต่อกระซิกแข่งกับเสียงรถและเสียงผู้โดยสารอื่นอย่างไม่สนใจสิ่งรอบตัว
ผมมีเวลาแอบเพ่งพิจารณาดูโครงหน้าตาจมูกปากผิวพรรณของเด็กเรานั้นเพื่อจำแนกเชื้อชาติ
ผมมีเวลาเห็นไรผมชื้นเหงื่อที่ต้นคอ
ผมมีเวลามองใต้วงแขนของเด็กสาวที่อาจเพิ่งเรียนรู้การกำจัดขนรักแร้
บางคนก็จัดการได้เกลี้ยงเกลา แต่บางคนไม่
นอกจากภาพและเสียงที่รายล้อมตัวผมอยู่นั้น
ยังมีสิ่งหนึ่งที่ผมกำลัง พยายามแยกแยะ
มันคือกลิ่น…
รอบๆตัวผมนั้น มีกลิ่นมากมายหลายอย่างเลยทีเดียว
ตั้งแต่กลิ่นอับชื้นของขบวนรถ
กลิ่นอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเครื่องปรับอากาศในรถ
กลิ่นเหงื่อของผู้คนรอบตัว
กลิ่นน้ำหอมหลายชนิด
และ
คุณพระช่วย…
ผมว่าผมได้กลิ่นสาบสาว…
รถยิ่งวิ่งเร็ว ก็ยิ่งกระแทกกระทั้น
เวลาที่เข้าโค้ง ก็ยิ่งมีแรงเหวี่ยง
ผมถูกเบียด ถูกสัมผัสจากเด็กสาวๆเหล่านั้น
อาจเป็นเพราะพวกเธอมองเห็นผมเป็นผู้ใหญ่แล้ว จึงหันด้านหน้าของร่างกายเข้ามาฝั่งด้านผม
แต่หันด้านหลังไปเบียดกับหนุ่มมาเลย์หน้าโหดเหล่านั้นแทน
ยิ่งรถกระแทกกระทั้น ความสัมผัสก็ยิ่งกระทบกระทั่ง
กลิ่นและภาพที่อยู่ข้างหน้ากระทุ่มกระแทกจนจิตและสมาธิของผมได้รับความกระทบกระเทือน
สมองที่เคยคิดถึงเรื่องที่จะต้องไปพบเพื่อนและแผนการที่จะเที่ยวคืนนี้ถูกรบกวนจนเสียสมาธิ
ความร้อนระอุก็เริ่มคุกรุ่นขึ้นมาในร่างกายโดยไม่รู้ตัว
กลิ่นเหงื่อของเด็กสาวเคล้ามาด้วยกลิ่นของโคโลญอ่อน ๆ เจือด้วยกลิ่นเฉพาะตัว
บรรยายไม่ถูกว่ามันคือกลิ่นอะไร
กลิ่นของมันเหมือนกับกลิ่นตัวผสมกับกลิ่นหัวสิวจาง ๆ
เป็นกลิ่นเดียวกับที่ผมมักจะได้กลิ่นจากซอกคอของสาว ๆ ในห้วงเวลาพิศวาส
ซึ่งเมื่อได้กลิ่นแล้วจะเกิดความรู้สึกรัญจวน
มันคงเป็นกลิ่นฟีโรโมน..
ภาพที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้า..
คือภาพของใบหน้าด้านข้างของเด็กสาว
ภาพของไรผมและต้นคอที่ชื้นเหงื่อ
ภาพของเนินอกที่ชูชันอยู่ใต้เครื่องแบบ
ภาพของวงแขนที่เปิดเผยให้เห็นรักแร้สีขาวนวล และเส้นขนอ่อนๆที่ถูกกำจัดไม่หมด
ซ้ำเติมด้วยแรงเบียดเสียด
ซ้ำเติมด้วยแรงกระแทกกระทั้น
การสัมผัสรู้ได้ถึงความนุ่มหยุ่นของเนื้อสาว
ความเต่งตึงอัดแน่นด้วยเลือดและเนื้อ ดีดเด้งราวกับยางนุ่ม
กระทบกระทั่งอยู่บนร่างกายของผมตลอดเวลา
โอย…..
ผมเกิดอารมณ์…
ความรุ่มร้อนเกิดจากในอก
แล้วค่อยๆกระจายไปทั่วร่าง
ผมรู้สึกได้ถึงลมหายใจที่น่าจะอุ่นผะผ่าวขึ้นของผม
ผมรู้สึกได้ถึงความตื่นตัวของบางอย่างที่ค่อยๆก่อตัวขึ้นอย่างช้าๆ
ขบวนรถผ่านมาอีกสองสามสถานี
มีคนขึ้นลงเพียงเล็กน้อยเนื่องจากบนรถค่อนข้างเบียดเสียดอยู่แล้ว
สถานการณ์รอบตัวผมแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง
ผมยังคงถูกรบกวนสายตาด้วยซอกหู ต้นคอ เนินอก และรักแร้
ผมยังถูกรบกวนจมูก ได้กลิ่นเหงื่อกลิ่นสาบสาวและกลิ่นหอมอ่อน ๆ
ผมยังถูกรบกวนร่างกาย ด้วยการเบียดเสียดกระแทกกระทั้นจากเนินอกร่างกายและต้นขาของเด็กสาว
เจ้าสิ่งนั้นของผมค่อย ๆ ขยายตัว และแข็งตัวขึ้น
ผมไม่มีโอกาสที่จะไปจัดให้มันเข้าที่เข้าทาง เพราะความเบียดเสียดของรถไม่เปิดโอกาสให้ผมทำอะไรอย่างนั้นได้
ผมทำได้เพียงพยายามโก่งตัว
เพื่อไม่ให้เจ้าตัวร้ายนั้นส่งความแข็งแกร่งก็มันไปสัมผัสกับเด็กสาวที่โหนรถอยู่ข้างหน้าผม
อากาศร้อนอบอ้าว และการพักผ่อนไม่พอไม่เพียง จะไม่บั่นทอนอาการนี้
กลับกลายเป็นว่ามันส่งเสริมเจ้าตัวร้ายนั่นให้แข็งตัวอย่างไม่มีเหตุผล
ผมโก่งตัวจนเด็กผู้หญิงที่ยืนอยู่ข้างหลังเริ่มรู้สึกแปลกและหันมามองหน้าผม
ผมต้องแก้เกี้ยวด้วยการเอามือล้วงกระเป๋า ขยับเหรียญในกระเป๋าให้ดังกรุกกริก
แล้วรีบจัดเจ้าตัวร้ายให้ยืนขึ้นขนานกับลำตัว
จึงจะทำให้พบพ้นพิรุธไปได้บ้าง
เมื่อจัดการให้เจ้าตัวร้ายนั่นมายืนตรงเงยหน้าแนบตัวได้แล้ว
ผมก็รู้สึกสะดวกใจมากขึ้นที่จะยืนนิ่งๆ
แรงกระแทกกระทั้นได้แรงเหวี่ยงของขบวนรถก็ยังไม่หยุด
แรงกระแทกกระทั้นของเนื้อนุ่มหยุ่นของเด็กสาวๆที่อยู่รายล้อมตัวของผมก็ไม่หยุดเช่นกัน
ความปวดร้าวของการอยู่ผิดที่ผิดทางและผิดท่า กลายเป็นความสบายเมื่อถูกจัดท่าเสียใหม่
ความสบายเมื่อถูกกระแทกกระทั้น ก็กลายเป็นความเสียวซ่าน
กระแสไฟฟ้าเริ่มแผ่ไปรอบตัวผม
ริมฝีปากและเพดานในช่องปากของผมรู้สึกซาบซ่าเหมือนมีไฟฟ้าแล่นผ่าน
ความเสียวซ่านที่แก่นกาย ทวีขึ้นจนสร้างความจุกแน่นในช่องท้อง
ของเหลวจำนวนมาก ถูกร่างกายปั๊มมารออยู่ในจุดที่พร้อมจะส่งมันออกจากร่าง
หัวใจผมเต้นแรงขึ้นและเร็วขึ้น
ผมหายใจถี่ขึ้นและตื้นขึ้นด้วย
ลมหายใจของผมอุ่นขึ้นจนเกือบร้อน
ในบางจังหวะผมถึงกับต้องกั้นหายใจ
เหลืออีกสองสถานีก็จะถึงที่หมายของผม
เกือบ 30 นาทีแล้วที่เด็กสาวกลุ่มนั้นขึ้นมายืนเบียดเสียดผม
และเมื่อขบวนรถมาถึงสถานีที่เจ็ด
ซึ่งดูเหมือนเป็นสถานีที่ใหญ่มาก
ทุกสิ่งทุกอย่างดูทันสมัยและมีผู้คนมากมาย
เด็กเหล่านั้นพร้อมคนส่วนใหญ่บนรถก็พากันพรั่งพรูลงจากรถไป
จนขบวนรถทั้งขบวนดูโล่งลงไปถนัด
มีคนยืนเหลืออีกเพียงเล็กน้อย
มีที่นั่งว่างหลายที่นั่ง
ผมถอนหายใจออกมาหลายครั้งติดๆกัน
ปฏิกิริยาทางกายที่รุ่มร้อนอย่างรุนแรงเมื่อสักครู่คลายตัวลงอย่างรวดเร็ว
ผมทรุดตัวลงนั่งตรงที่ว่างใกล้ ๆ อย่างไร้เรี่ยวแรง
วันนี้ผมใช้พลังงานไปค่อนข้างมาก
ตั้งแต่เดินทางมาจากมะละกา
เดินเที่ยวชมตึกเปโตรนาส
แล้วยังมาโดนเด็กสาวๆพวกนั้น
ท้าทายศีลธรรม มโนธรรมของผม โดยที่พวกเธอก็ไม่รู้ตัว
ผมนั่งเงียบกับความรู้สึกที่ก้ำกึ่งกัน
ระหว่างความเข็ดขมของความละอายที่ปล่อยให้อารมณ์และความคิดฝ่ายต่ำเข้าครอบงำจิตใจ
กับความรู้สึกอบอุ่นหอมกรุ่นกลิ่นของโลกียกามที่ยังคงอบอวลอยู่ในลมหายใจ
ยังติดตาอยู่กับภาพที่น่ารัญจวนและความรู้สึกแหบโหยที่โบยตี ดำฤษณา ในหัวใจให้ฟุ้งซ่านและรอวันพรั่งพรู
กัวลาลัมเปอร์วันนั้น…
ไม่มีอะไรให้ผมจดจำมากมายนัก
นอกจากรูปภาพไม่กี่ภาพ
และ….
บ่ายอันอบอ้าววันหนึ่งในรถไฟใต้ดินสายสีเหลืองที่กัวลาลัมเปอร์
โดย พี่รอย