......
ท้องนายามหน้าแล้งของหมู่บ้านชนบทเล็ก ๆ แห่งหนึ่งในจังหวัดหนองคายยามนี้มันช่างดูเปล่าเปลี่ยวและเงียบเหงา
พื้นดินแห้งผาก แตกระแหง ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองเท้าแก่คนที่ไม่เคยกรำงานหนัก……….
แต่ไม่นานดอกฤดูแห่งการงอกงามการเจริญเติบโตจะเวียนมาอีกครั้ง ผืนนาจะกลับมามีชีวิตชีวาเหมือนสาวแรกรุ่น
ศรัทธา หนุ่มชาวนาที่ไม่เคยคิดจะทำอาชีพอื่นใดนอกจากทำนา
เขานับถืออาชีพนี้เยี่ยงชีวิตเพราะได้รับคำสั่งสอนที่ตกทอดกันมาตั้งแต่บรรพบุรุษปู่ย่าตายาย ….
เขายืนพิงต้นกระทุ่มใหญ่กลางนาหมายจะหลบละไอร้อนจากดวงอาทิตย์ยามบ่าย
และพักผ่อนจากการกรำงานหนักกลางนา
..........สายตาของเขาทอดแลไปไกลโดยไม่มีจุดหมาย
.......... แลไกลเหมือนจะให้เห็นใครสักคนที่อยู่ไกลแสนไกล
เขาทอดหายใจพร้อมก้มลงมองรูปถ่ายสีซีดจางในมือ
.....ใจประวัติหวนนึกถึงความหลังซึ่งทำให้หน้าตาที่คล้ำแดดดูอิ่มเอิบและเปี่ยมสุข
……..มันช่างเป็นความทรงจำที่หอมหวานเสียนี่กระไร………
วันที่เขาได้ไปต่างประเทศเป็นครั้งแรกในชีวิต
ภาพที่เขายืนอยู่ตีนสะพานมิตรภาพไทย – ลาว กับเพื่อนคู่หูไอ้ไปร่
ผู้มาชักชวนไปเตร็ดเตร่ตามประสาหนุ่มวัยรุ่นหลังจากเสร็จงานนา
หลังจากที่เขาข้ามไปฝั่งลาว เขาปล่อยให้ไอ้ไปร่สหายรักพาอีกลอยไปเดินจู๋จี๋ตามประสาหนุ่มสาว
……… เขาเดินดูของซื้อของขายที่มีอยู่เกลื่อนกล่น ผ้าไหม, เทปปลอม, CD เถื่อน ฯลฯ
เขาเดินอย่างเพลิดเพลินจนลืมเวลา แต่ท้องของเขากลับร้องครวญครางทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์
ทันใดนั้นเขาได้กลิ่นผัดไทยลอยมาตามลมมันหอมหวลเตะจมูกเขาดัง “พลั่ก “ จนเลือดกำเดาแทบไหล
เขาเดินตามกลิ่นผัดไทยไปราวกับหมาตามหากระดูก
แต่สิ่งที่เขาพบหน้ากระทะผัดไทยนั่นสิ
โอววววววว อุแม่เจ้า
มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่สวยงามที่สุดที่เขาเคยเห็น
.......... เธอหันมาสบสายตากับศรัทธาแล้วส่งเสียงเจื้อยแจ้วปานนกการเวกว่า
"ก๋วยเตี๋ยวผัดไทยบ่อ้ายยยยยยยยยย"
เหมือนถูกมนต์ดำของสาวลาว ศรัทธาเดินตรงรี่ไปที่ร้านขายผัดไทยพร้อมเอ่ยปากสั่งผัดไทยแก้เขิน
“ผมชื่อศรัทธาครับ“ ชายหนุ่มส่งยิ้มที่คิดว่ามีเสน่ห์ที่สุดไปให้หญิงสาว
"ไอ้สัตว์"
เสียงหวานเจื้อยแจ้วกล่าวแต่ทำให้ศรัทธาตื่นจากภวังค์และเกือบโดดเข้าคลุกวงในและชกปากสาวลาว
หากแต่เขานึกขึ้นมาได้ว่า อ้ายในคำลาวนั้เนแปลว่าพี่..........
"ข้อยชื่อ ษาลา" สาวน้อยเมืองลาวแนะนำตัวพร้อมส่งยิ้มหวาน
หลังจากนั้น ศรัทธา หนุ่มไทยผู้มีความรักเต็มหัวใจกับสาวลาวนาม ษาลา ได้เทียวไปเทียวมา ไทย – ลาว, ลาว-ไทย, ไทย-ลาว
ไม่มีสักครั้งที่จะคิดนอกใจไปเขมรหรือพม่า
เขาใช้เสียงเพลงเป็นสื่อจีบสาวลาวทุกวันจนเธอใจอ่อน
เพลงที่เขาเลือกใช้คือเพลง "ไม่เคย" ของพี่เขียวคาราบาว
………………………
"แอบเอาไปฝัน แอบเอาไปเพ้อ
เพ้อ เพ้อ เพ้อ ในดวงใจ
เก็บเอาความรักใส่กุญแจไว้ กลัวแมวจะมาขโมย
ช่วยวานบอกความจริงกันเธอให้ทีว่ามีคนบ้าหอบรักมาฝาก
ว่าคนที่ชอบมายืนแอบมองทุกวันนั้นยืนตัวสั่นเพราะยังไม่เคย รักใคร"
………………………
ในที่สุดความรักสุกงอมได้ที่
เขาจึงตัดสินใจรับสาวลาวหลบหนีเข้าเมืองมาอยู่กินด้วยกันที่เมืองไทยแดนสยาม
หวังจะมีลูกครึ่งตัวน้อยไว้ชมเชย
เขายังจำถึงวันที่เขาทั้งคู่ขี่ควายสัญญากันต่อหน้าพระจันทร์ว่า ไม่ว่าข้างหน้าจะมีอุปสรรคขวางกั้นเพียงใด ทั้งคู่ก็จะขอเอาความรักแท้ที่จริงใจฝ่าฟันข้ามไปให้จงได้
หลังจากที่เธอข้ามมาอยู่เมืองไทยแดนสยามเธอได้เปลี่ยนอาชีพจากแม่ค้าขายผัดไทยมาเป็นแม่ค้าขายข้าวหลามแทน
ทุกเช้าเขาจะต้องช่วยเธอนำข้าวหลามไปขายที่ท่ารถทัวร์
ชีวิตของทั้งสองมีความสุขดีจนกระทั่งเธอเริ่มรู้จักกับอบายมุขร้าย
"ดัมมี่"
จากสาวลาวแสนซื่อพูดจาคะขา กลายมาเป็นอีปากปลาร้าจิกหัวด่าผัวทุกครั้งที่เสียไพ่
.......... เขาเคยหิ้วปิ่นโตไปส่งเธอบ่อย ๆ เพราะกลัวเธอจะเป็นลมเป็นแล้งคาวงไพ่
……เธอมีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักของนักพนันทั่วไปในนาม อีษาเสเปโต
เพราะเธอมักจะได้ สองดอกจิก กับ แหม่มโพดำเกือบทุกครั้ง
แต่อนิจจาเธอมักจะโง่ เพราะเธอชอบ อม มันไว้คามือ
ปีนั้น………นาแล้งผลผลิตย่ำแย่ ษาลาก้อยังเล่นไพ่มือตกเสียตลอดตามเคย
หล่อนตัดสินใจไปทำงานตามคำชักชวนของเพื่อนสาวในหมู่บ้าน
เธอชวน ษาลาไปเป็นพนักงานเสิร์ฟในคลับหรูหราใหญ่โตนามโปไซดอน
ศรัทธาพยายามขัดขวางสุดชีวิต แต่ไม่สำเร็จ
เพราะเธอใช้กระบอกข้าวหลามไซส์ 60 บาท ตีเข้าที่หัวเขา 3 ทีซ้อนแล้วติดปีกบินไปกับอีสาวคนชักชวน
........ ทิ้งไว้เพียงจดหมายใจความสั้น ๆ ว่า..........
"ให้ฉันไปเถอะพี่ ฉันสัญญา ฉันจะกลับมาตอนหน้าฝน เราจะมีเงิน เราจะร่ำรวย ฉันจะอมเปโตคามือไว้ได้จนฉันน็อคมืด…………"
2 ฝนผ่านไปพร้อมกับความเงียบงัน……………ไม่เคยมีข่าวคราวจาก ษาลา สาวลาวอันเป็นคนรัก
เขาสอบถามจากคนที่ชวนเมียเขาไปเป็นสาวเสิร์ฟที่โปไซดอน
แต่ตอนนี้หล่อนกลับมารักษาโรคร้ายที่บ้านเกิด
..........ได้ความว่า ษาลาได้เลื่อนขั้นจากสาวเสิร์ฟมาเป็นหมอนวดภายในสองอาทิตย์
เนื่องจากเธอต้องการเงินไปเล่นดัมมี่
ษาลา เปลี่ยนชื่อเป็น ซาร่า
บัดนี้เป็นเมียน้อยเสี่ยผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งย่านรัชดาที่เจอกันในวงไพ่
เสี่ยคนนั้นมีฉายาว่า เสี่ย สอง สเปโต
OHHHHHH Goddddddddd …………ดั่งนรกชังหรือสวรรค์แกล้ง
เสียงเพลงดังแว่วมาจากวิทยุที่เขาเก็บหอมรอมริบไว้ฟังแก้เหงายามที่เมียสาวห่างไกล……….
"ฟ้าในเดือนฝนฉ่ำคงนึกขำต่อคำสัญญา
ฝนหล่นเทร่วงมา สายลมพัดพายิ่งรนร้อนใจ
ไหนว่าไปแล้วกลับหน้าฝน ใครเป็นคนสัญญาเอาไว้
ทิ้งให้รอทุกข์ทนเท่าไหร่คนอย่างนี้ก็มี
……….หลงเมืองกรุงทั้งยาวทั้งใหญ่ จ้างก็หาไม่เจอ “
..........
บทเพลง สัญญาหน้าฝน ของเขียว คาราบาว ราวกับจะรังสรรค์ขึ้นมาเพื่อเขา
ชีวิตเขามันช่างแปลกดีแท้ เริ่มต้นความรักด้วยเพลงของพี่เขียวคาราบาว
และจบลงด้วยเพลงพี่เขียวคาราบาวอีกเช่นกัน
นี่มันความบังเอิญหรืออะไรกันแน่หนอ ???
เขาพยายามขำ ………..
ไปดีเถอะซาร่า
ในที่สุดเธอก้อได้ทำในสิ่งที่เธอต้องการ
คือ การ “ อม “ สเปโต ทั้งไพ่ และ “อม” ทั้ง^_^ของเสี่ยสอง ………นี่ใช่ไหมชีวิตที่เธอถวิลหา ???
เขาเก็บรูปถ่ายสีซีดจางลงกระเป๋าข้างซ้ายแนบกับหัวใจ พร้อมกับหลับตาลงและถอนหายใจ
เขาเก็บรูปเธอไว้ที่ที่ใกล้หัวใจเขาที่สุดตลอดเวลา
และเขายังคงอดทนรอสัญญาที่เธอให้ไว้ว่าจะกลับมาหาเขาในวันที่ฝนมาเยือน
โดย CuteySeeda