. .ต ร า บ นิ รั น ด ร . .
-----
__ผมกุมสองมือเธอไว้มั่น สายตาผมสงบนิ่งและเลียดลึก ราวกับต้องการมองผ่านทะลุสายตาคู่งามนั้นลงไป..
เธอผอมลงมาก ร่างเธอราวซากโครงกระดูกที่ถูกคลุมด้วยผิวหนังหยาบ ๆ ผมเธอร่วงเกือบค่อนศีรษะ แก้มตอบบาง ปากแห้งแตกระแหงตกสะเก็ดเป็นแผ่น ๆ..
__แม้ใครจะรู้สึกยังไงก็ตามหากเมื่อได้เห็นสภาพเธอในตอนนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าความรักที่ผมมีต่อเธอจะลดลงแต่อย่างใด..
ตรงกันข้าม ผมกลับรู้สึกรักเธออย่างสุดหัวใจ แลปนความรู้สึกเคว้งสุดกู่เมื่อรู้ว่าเวลาระหว่างเธอกับผมเหลืออีกไม่นานแล้ว.. __เธอ... กำลังจะตาย...
“ฉันนี่เห็นแก่ตัวจังนะ” เสียงเธอแหบพร่าสั่น และปนหยาดน้ำตาที่ไหลออกมาจากดวงตาคู่ที่ยังกลมสวยนั่น..
“แอบชิงหนีไปก่อน ทิ้งคุณให้อยู่คนเดียวอีกแล้ว”
“ฉัน......ฉัน..เสียใจค่ะ”
หยาดน้ำตาเธอค่อย ๆ ไหลจากดวงตาลงอาบแก้มทั้งสอง
ผมเอื้อมมือไปปิดปากเธอเบา ๆ พลางคิดบอกเธอว่า อย่าห่วงไปเลยที่รัก ผมจะตามคุณไปทันทีเมื่อคุณปิดเปลือกตาครั้งสุดท้ายลง ..
“สัญญานะคะ” เธอกระชับมือผมไว้มั่น ผมบีบมือเธอเบา ๆ เป็นเชิงรับตอบ..
“คุณจะต้องอยู่ต่อไป เพื่อฉัน..”
“นะคะ..” เธอสะอื้นไห้หนักขึ้น ราวกับรู้ดีว่าผมจะตัดสินใจทำอะไรยามเธอจากไปแล้ว
ใจลึก ๆ ผมปวดจี๊ดด นี่คุณช่างใจดำนัก ผมอยู่ต่อไปจะมีความหมายอะไรหากไม่มีคุณ...
“คิดซะว่าเป็นการขอร้องครั้งสุดท้ายจากฉัน”
“นะคะ..”
เธอย้ำผมอีกครั้งราวกับตอกตะปูให้เลียดลึกลงในหัวใจผม ขอบตาผมร้อนผะผ่าว มองดูเธอด้วยสายตาที่ยากยิ่งเกินกว่าจะเอื้อนเอ่ยคำใดขึ้นบรรยาย ..
ผมพยักหน้าเชิงรับแทนคำตอบ ผมก็เป็นอย่างงี้เสมอแหละ มักยอมเจ็บปวดเพื่อคนอื่นเสมอ แต่สำหรับคนที่เรารักแล้ว เจ็บปวดเพิ่มขึ้นอีกสักหน่อยจะเป็นไรไป ...
...
..
ย้อนไปเมื่อกว่าเมื่อเจ็ดปีที่แล้ว วันที่ครั้งแรกที่ผมได้รู้จักกับเธอ เธอเป็นดาวของคณะที่ผมเรียนอยู่
แม้ผมกับเธอจะรู้จักโดยบังเอิญ แต่เธอก็มีเสน่ห์เหลือล้นจนทำให้ผมรู้สึกว่าตกหลุมรักแรกพบ ถึงขาดเพียรพยายามเฝ้าตามตื้อตามจีบเธอทุกวัน..
ช่วงนั้นคู่แข่งผมเยอะพอควรครับ แต่อาจเป็นเพราะความแน่วแน่เสมอต้นเสมอปลายของผม ทำให้เธอตัดสินใจเลือกคบกับผมในที่สุด...
เธอทำให้ผมมั่นใจในตัวเองขึ้นอีกโข ผมรักและเฝ้าทะนุถนอมเธอมาก ตลอดระยะเวลาปีกว่าที่เราคบกัน ไม่เคยเลยสักครั้งที่ผมจะล่วงเกินเธอ สปิริตความเป็นสุภาพบุรุษของผมยังเต็มเปี่ยมล้น จะมีบ้างเป็นครั้งคราวก็แค่จับมือเคียงคู่กันไปดูหนังเท่านั้น.. แต่เกียรติที่ผมมีให้เธอนั้น ก็หายังเทียบเท่าความรักที่ผมมีต่อเธอแม้เพียงครึ่งเสี้ยวไม่..
ผมถึงกับเคยปฎิญาณตนเองในตอนนั้นว่า ผมจะต้องปกป้องเธอคนนี้จนชั่วชีวิต..
ช่วงเวลาที่มีความสุขของคนเรามักผ่านไปเร็วนัก เรื่องที่เราคิดว่าแน่นอนแล้วในโลกนี้ ก็มักไม่แน่นอนตามที่เราคาด
จุดผกผันของความรักเราเกิดขึ้นเมื่อเย็นวันหนึ่งหลังจากที่ผมแอบซื้อเสื้อตัวหนึ่งซึ่งกะจะไปเซอร์ไพร์ให้เธอโดยไม่บอกล่วงหน้าก่อน..
ข้างรถสปอร์ตสีเลือดหมูคันนั้น ผมเห็นผู้ชายคนหนึ่งกอดเอวเธอไว้อย่างหลวม ๆ โดยมีร่างเธอพิงติดประตูรถคันงามพร้อมโอบแขนกระหวัดรัดที่ต้นคอของชายหนุ่ม กระทำสิ่งที่ผมไม่เคยแม้นจะล่วงเกินเธอมาก่อนในชีวิต..
เธอกำลังจูบกับเขา..
...
ยิ่งกว่าฟ้าผ่าเปรี้ยงเข้าตรงกลางใจของผม หัวสมองผมหมุนคว้างตีกลับไปหมด ความรู้สึกหัวใจแหลกสลายมลายไปทั่วร่าง นึกไม่ถึงว่าคนที่ผมหลงรักเธอมาชั่วชีวิตจะทำให้ผมแบบนี้
ผมเดินเข้าไปหาพวกเขาด้วยความรู้สึกเหม่อลอย น้ำตาผมไหลเอ่อล้นออกมาอย่างไม่รู้ตัว เธอผงะเล็กน้อยหลังจากที่เห็นผมจู่ ๆ ปรากฎตัวขึ้น แต่แล้วเธอก็ตีปรับกลับเปลี่ยนสีหน้าได้อย่างรวดเร็ว..
“ขอโทษนะคะ .. ยีตั้งใจจะบอกกับคุณนานแล้วค่ะ ว่าเลิกคิดกับยีได้แล้ว”
“นี่แฟนยีเอกค่ะ ชื่อเอก”
เธอชี้ไปที่ชายหนุ่มคนนั้น ภาพที่ผมเห็นช่างพร่ามัวนัก เพราะถูกม่านน้ำตาของผมในขณะนี้บังจนมิด แต่กระนั้นก็รู้สึกได้ว่าชายหนุ่มคนนั้นคงมองผมด้วยสายอย่างผู้ชนะ แววตาเขาคงเต็มไปด้วยความรู้สึกหยามเหยียดแลปนสมเพชผมเหลือบรรยาย...
เธอพูดกับผมอีกหลายคำ แต่หูผมมันอื้ออึงมากเกินกว่าจะรับรู้สิ่งใด ๆ เสียแล้ว ผมเดินจากมาอย่างคนหัวใจสลาย นี่ผมมันแค่ไอ้โง่คนนึงเท่านั้นหรือ..
......
ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าหลังจากนั้นผมมีสภาพเป็นเช่นไร เหล้าขวดแล้วขวดเล่าถูกกรอกลงในร่างเพื่อลืมความเจ็บปวด ผมดื่มหนักอย่างเป็นบ้าเป็นหลัง จนร่างกายผมทนไม่ไหวในที่สุด วูบสุดท้ายก่อนที่สติสัมปะชัญญะผมจะดับลงคือขอให้ตัวเองรีบตาย ๆ ไปซะ ..
ผมตื่นขึ้นมาอีกทีที่โรงพยาบาล ท่ามกลางความสับสนของตัวเอง แม่ พี่ชาย และเพื่อนของผมยืนอยู่ข้าง ๆ แม่ผมร้องไห้อย่างหนักหลังจากเห็นผมฟื้นขึ้นแล้ว.. ความรู้สึกสับสนแลปนสมเพชตัวเองทำให้ผมเริ่มคิดได้ และตั้งใจบอกกับตัวเองว่า จะไม่ให้คนรอบกายผมต้องมาเจ็บปวดเพราะผมอีก...
...
หลังจากออกจากโรงพยาบาล..
ผมตัดสินใจทิ้งความเจ็บปวดบินไปต่างประเทศตามคำแนะนำของพี่ชาย ในช่วงแรกของผมที่ออสเตรเลีย ผมต้องทนกับความปวดร้าวกับการที่ต้องคิดถึงเธอทุกวัน ภาพบาดตาของเธอกับเขายิ่งหลอกหลอนผมอยู่ทุกค่ำคืน ...
ชั่วนานทีเดียว ..
นานทีเดียวกว่าที่ผมจะชาชิน..
และด้านชาพอจะบอกกับตัวเองได้ว่าจะไม่คิดถึงเขาแล้ว..
...
สี่ปีที่รวดเร็วกับการเรียนของผม จวบจนผมสำเร็จการศึกษาจากที่นั่น ค่ำวันนั้น แม่ พี่ชายและไอ้ต่อเพื่อนผมต่างรอผมอยู่ที่ประตูผู้โดยสารขาเข้าของสนามบินดอนเมือง ดอกไม้ช่อโตกับรอยยิ้มที่แสดงความยินดี ทำให้ผมแอบดีใจลึก ๆ ที่อย่างน้อย ชีวิตผมยังมีเขาเหล่านี้เคียงข้าง..
วันนั้นหลังจากทานข้าวกับแม่เสร็จ ผมก็ขอตัวไปฉลองกับเพื่อน ๆ ต่อ อีกสักวันสองวันก็คงไปรับตำแหน่งผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการตามที่อาผมชักชวน ชีวิตผมเหมือนประสบความสำเร็จแล้วระดับนึง แต่ลึก ๆ ในใจผมมันโหวง ผมเหมือนขาดอะไรไปสักอย่างที่คนอื่นไม่สามารถเติมเต็มเลยให้ผมได้เลย...
.. ผมยังคิดถึงเขา...
ป่านนี้เธอจะเป็นยังไงบ้างนะ.. ตลอดระยะเวลากว่าสี่ปีทำอะไรอยู่กันแน่.. บางที เธออาจแต่งงานแล้วก็ได้ ความรู้สึกสับสนแลปนความไม่แน่นอนก้ำกึ่งตีปนผสมเปอยู่ทั่วอณูความนึกคิดของผม ผมคิดทบทวนถามตัวเองอีกหลายรอบว่าจะรู้สึกยังไง ถ้าหากได้เจอเธออีกครั้ง...
ผมยังจะข่มความเจ็บปวดนั่นได้หรือเปล่า...
บางทีแค่ผมได้มองแว่บเดียวห่าง ๆ แค่แว่บเดียวให้พอรู้ว่าเธอมีความสุขกับชีวิตแล้วผมก็พอใจแล้ว ให้ตายเหอะ ผมรู้สึกอย่างงี้จริง ๆ น่าสมเพชเหลือเกิน ที่ตลอดเวลามานี่ผมยังจะห่วงกะอีคนที่ทิ้งผมไปหาคนอื่นนั่นอีก..
ผมสอบถามข่าวคราวจากไอ้ต่อเพื่อนผม ตอนแรกมันอ้ำอึ้งไม่อยากจะตอบ แต่เมื่อผมเค้นหนักเข้ามันจึงยอมเปิดปากจนได้...
“กูนึกว่ามึงจะลืมเขาได้แล้ว” มันโพล่งขึ้นคำแรกหลังจากที่โดนผมเค้นอย่างหนัก
“กูก็แค่อยากรู้ว่าเขาเป็นไงมั่ง ก็แค่นั้น”
“ ถ้างั้นก็ดีแล้ว มึงทำใจไว้หน่อยนะ”
..
“ยีมันเป็นเอดส์”
...
..
---
ผมเย็นวาบไปทั่วร่าง แทบไม่อยากเชื่อกับความจริงที่เกิดขึ้นกับเธอนี้ ผมตรงเข้าเขย่าร่างไอ้ต่อถามซ้ำ ๆ ไปอีกนับสิบ ๆ ครั้ง แต่คำตอบที่ผมได้ยินจากปากของเขาก็ยืนยันเหมือนเดิม...
ความจริงละครฉากนี้น่าจะจบลงได้แล้ว ถ้าไอ้ต่อบอกกับผมว่าเธอได้แต่งงานกับชายคนรักอย่างมีความสุข มีลูกน้อยตัวเล็ก ๆ และครอบครัวอันอบอุ่นในพึงที่ชีวิตผู้หญิงคนหนึ่งควรจะมี ...
แต่มันกลับไม่ใช่...
น้ำตาลูกผู้ชายของผมไหลออกมาอย่างไม่รู้ตัว...
ความรู้สึกเจ็บปวดแลปนสงสารมันจุกล้นเต็มปรี่ในอกเมื่อได้รับรู้ว่าเธอต้องพบเจอแต่เหตุการณที่เลวร้าย..
“มึงยังจะร้องไห้กับคนที่ทิ้งมึงไปทำไมวะ มันเป็นอย่างงี้ก็น่าจะสมควรแล้วนิ”
ไอ้ต่อบอกกับผมด้วยน้ำเสียงที่สมเพช แต่ผมได้แต่ส่ายหัวพึมพัมพูดกับมันทั้งน้ำตาว่า..
“มึงไม่เข้าใจ ..”
..
“มึงมันไม่มีวันเข้าใจ....”
...
...
ผมสืบเสาะเค้นหาที่อยู่ของเธอได้ในอีกวันต่อมาโดยไม่รอช้า
ผมยอมทิ้งงานนัดสัมภาษณ์ในบริษัทของคุณอาในวันนั้นเพื่อต้องการพบเธอโดยแค่หวังว่าตัวผมเองจะพอช่วยอะไรเธอได้บ้าง...
ผมกดกริ่งรอเธอมาเปิดประตูด้วยความรู้สึกที่ตื่นเต้น สี่ปีอันเจ็บปวดกลับหวนผมต้องมาเจอกับเธออีกครั้ง แม้จะอยู่ในภาวะที่ไม่สมควร แต่นี่ทำไมผมถึงยังข่มความรู้สึกนี้ไม่ได้สักทีนะ..
ทันทีที่เธอเห็นผมหลังจากเปิดประตูแล้ว เธอผงะเล็กน้อย เธอดูโทรมไปมากทีเดียว กลิ่นเหล้าหึ่งคลุ้งไปทั่ว แก้มตอบบางแลเห็นเส้นขอบกระดูกอย่างชัดเจน ร่างกายผอมซูบ จนแทบจะไม่เหลือเค้าอดีตดาวมหาลัยคนดังที่ผมเคยรู้จัก ...
ยังคงจะมีเพียงดวงตาคู่กลมสวยนั่นที่ไม่เปลี่ยนแปลง ดวงตาคู่โตที่แฝงไปด้วยความรู้สึก
ให้ตายเหอะ ต่อให้ร่างกายเธอต้องแหลกมลายเป็นผุยผง ผมก็ไม่มีทางที่จะลืมดวงตาคู่นี้ได้...
“..คุณมาหาใคร..” น้ำเสียงเธอดูเย็นชายิ่งนัก แต่ลึก ๆ ผมกับรู้สึกถึงอารมณ์ที่เธอข่มไว้อย่างสุดขั้ว..
“..นี่ผมเองไง ยี.. คุณจำไม่ได้เหรอ ..”
ผมมองเธอด้วยสายตาวิงวอนเหลือแสน แต่เธอกลับหลบแววตาที่มาดมั่นของผม ..
“.. คุณมาหาผิดคนแล้ว..” เธอตอบผมด้วยน้ำเสียงที่แหบพร่าและกลับประตูกระแทกปิดลงอย่างรวดเร็ว..
ผมเข้าใจดี เธอคงผ่านเรื่องร้าย ๆ มาเยอะ และสับสนเกินกว่าจะยอมรับตัวเองในสภาพเช่นนี้ได้
เสียงสะอื้นไห้เล็ก ๆ ดังลอดออกมาจากจากด้านใน ความรู้สึกเห็นใจแลสงสารจุกล้นตันขึ้นในอก แต่ผมก็มีสติพอที่จะข่มอารมณ์ตัวเองไว้ และเดินกลับออกมาในที่สุด..
ผมหายไปได้สองสามวันหลังจากไปหายีครั้งแรก โดยตัดสินใจเดินทางไปขายที่ดินผืนงามที่คุณพ่อผมยกให้เป็นมรดกก่อนแกจะเสีย ไม่มีใครที่รู้เรื่องนี้แม้แต่คุณแม่หรือพี่ชายของผม ผมจัดการเองทั้งหมด ที่ดินกว่าร้อยไร่ที่จังหวัดเชียงใหม่ถูกขายไปในราคาที่ถูกอย่างเหลือเชื่อ แต่กระนั้นก็เหอะ มันก็ทำเงินให้ผมมากโข มากพอเกินกว่าที่คนส่วนใหญ่จะหามาได้ในชั่วชีวิต..
และมากเกินพอที่จะใช้เพื่อดูแลคน ๆ หนึ่งตลอดบั้นปลายชีวิตของเขาเช่นกัน..
----
ผมกลับไปหายีอีกรอบ แต่คราวนี้ผมจะไม่ยอมเดินกลับจากมาเหมือนครั้งก่อนอีกแล้ว ผมยื้อยึงดึงดันเข้าไปให้ได้จนสำเร็จ ทันทีที่ผมเข้าไปถึง น้ำตาที่เธออัดอั้นข่มไว้ก็พรั่งพรูออกมา ข้าวของในบ้านหลายอย่างถูกเธอคว้าเขวี้ยงโยนใส่ผม ...
“..คุณมาอีกทำไม๊..”
“ยังไม่สาแก่ใจใช่ไหม ที่เห็นฉันในสภาพแบบนี้”
เสียงเธอตวาดลั่นพร้อมน้ำตาที่ไหลอย่างไม่ขาดสาย ผมได้แต่นิ่งเงียบมองเธอด้วยสายตาอาทรเหลือแสน หัวคิ้วผมแตกจากที่เขี่ยบุหรี่ที่เธอโยนใส่ เลือดสีแดงปริ่มทะลักเป็นเส้นเล็ก ๆ จากปากแผลไหลลงอาบหน้าผมเป็นทางยาว ....
“กลับไปซะ ฮือ ๆ ๆ..”
ผมเดินเข้าหาเธอจับมือเธอกุมไว้มั่น แต่เธอกลับสะบัดมือผมออกและตวาดลั่นใส่ผมอีก
“ ไม่ !!!”
“อย่ามาแตะต้องตัวฉัน..”
“ฉันมันผู้หญิงน่ารังเกียจ..”
“..ฉันเป็นโรคเอดส์ ...ฮือ ๆ ๆ....”
“ได้ยินไหม ว่าฉันเป็นเอดส์!!!”
เธอพยายามถอยหนีห่างผม แต่ผมเดินเข้าหาถึงตัวเธอในที่สุด ร่างของเธอถูกผมดึงมาโอบกอดเอาไว้ เธอยังพยายามยื้อยึดดึงรั้งผมออกไปอย่างแรง แต่กลับทำให้ผมกอดเธอแนบแน่นขึ้นไปอีก..
“ไม่เป็นไรนะ..”
“ไม่เป็นไร..”
เสียงเธอยังสะอื้นไห้ไม่หยุด แต่แรงที่ต่อต้านผมเหมือนจะซาลงไปแล้ว ผมคลายตัวออกบ้าง แต่ยังกอดเธอในท่าเดิมไม่เปลี่ยน..
“ทำไม...”
“คุณมาหาฉันอีกทำไม..”
ผมเลือกที่จะไม่ตอบ แต่เลือกที่จะโอบเธอแนบแน่นซบกับก้อมกอดของผมแทน ผมคงไม่อาจสรรหาคำไหนมาบรรยายถึงความรู้สึกที่ยากยิ่งจะพรรณาในตอนนี้ได้เท่ากับสิ่งที่กายแสดงออก..
และผมเชื่อมั่นว่า เธอน่าจะเข้าใจความรู้สึกผมในตอนนี้เหนือยิ่งใคร..
เข้าใจดีอย่างเป็นที่สุด..
----
..
ผมมารู้อีกทีว่ายีติดโรคมาจากไอ้บัดซบนั่น ไอ้บัดซบที่เห็นแก่ตัวอย่างเป็นที่สุด เสียดายที่มันตายจากไปก่อนแล้ว ไม่งั้นผมคงต้องหาทางตะบันหน้ามันสักตั้ง..
ผมได้แต่นึกเสียใจที่กลับมาช้าเกินไป นี่ถ้าผมกลับมาเร็วกว่านี้อีกหน่อย ผมคงไม่ปล่อยเธอให้ดูโทรมจนได้ขนาดนี้..
..
ยีถูกผมพาเข้าพักฟื้นในโรงพยาบาลอยู่เกือบอาทิตย์จนสุขภาพเธอดีขึ้นมาก ผิวหน้าที่แม้จะซูบตอบ แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะมีเลือดฝาดระเรื่อ สภาพจิตใจเธอก็ดีขึ้นอย่างเป็นลำดับ โดยซึ่งมีผมคอยให้กำลังใจเธออยู่ข้าง ๆ ..
ระยะแรกเธอราวกับยังเมินเฉยต่อความเพียรพยายามของผม เหมือนกับยังหวาดระแวงและทำใจไม่ได้ที่จู่ ๆ ผมมาทำดีกับเธอขนาดนี้ ทั้งที่เมื่อก่อนเธอทำร้ายผมไว้มาก.. ทำร้ายอย่างเจ็บแสบที่เกินกว่าคนทั่วไปจะอภัย..
เธอยังไม่ให้อภัยตัวเอง และยังทั้งพยายามผลักไสไม่ยอมรับไมตรีผมอยู่ตลอดเวลา
แต่ผมเข้าใจความรู้สึกนี้เป็นอย่างดี เพราะเวลานี้ยิ่งผมทำดีต่อเธอเท่าไหร่ เธอยิ่งรู้สึกเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น..
แต่จะให้ผมทิ้งเธอไปอย่างงั้นหรือ??.
ผมคงจะทำไม่ได้แน่ เพราะนั่นก็เท่ากับทิ้งให้เธอเผชิญกับโลกคนเดียวอีกหน ซึ่งมันโหดร้ายเกินไปสำหรับเธอในเวลานี้จริง ๆ...
ยีร้องไห้กับผมในค่ำวันหนึ่ง เธอบอกให้ผมเลิกทำดีกับเธอได้แล้ว เธอรู้สึกทำใจไม่ได้ยิ่งเมื่อผมดีต่อเธออย่างงี้..
และยิ่งรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งเวลาเห็นผม..
ผมคิดไม่ถึงว่าความหวังดีของผมจะกลับกลายเข้าทำร้ายเธออย่างไม่รู้ตัว มันเหมือนอะไรบางอย่างจุกอยู่ที่คอหอยทำเอาผมพูดไม่ออก ผมนิ่งฟังเธอพูด เธอบอกกับผมอีกหลายอย่าง เธอบอกว่าคนอย่างผมน่าจะเจอคนที่ดี ๆ ความรู้สึกระหว่างเราสองมันก็แค่อดีต อดีตที่ผมยังลืมไม่ได้มันก็เพียงแค่ชั่วคราวเท่านั้น..
เธอต้องการให้ระหว่างเราพบหน้ากันเป็นครั้งสุดท้าย กรามผมขบกรอดแน่น คิดทบทวนสิ่งที่เธอพูดมาทั้งหมด..
และก่อนที่ด้ายเส้นสุดท้ายนี่จะขาดลง...
ผมก็ได้พรั่งพรูความรู้สึกที่จุกล้นนี่ออกมาทั้งหมด ผมบอกกับยีว่าผมไม่เคยแคร์ว่าต่อไปจะเป็นยังไง ผมไม่สนว่าวันนี้หรือวันไหน ผมไม่สนว่าจะตายร้ายดียังไง ไม่ว่าต่อไปเธอจะเป็นคนหรือผี ผมรู้อยู่อย่างเดียว วันนี้ผมจะขาดเธอไม่ได้ เธอใจร้ายกับผมมาพอแล้ว ...
ผมระส่ำวิงวอนขอร้องให้เธออย่าได้ใจร้ายกับผมต่อไปอีก..
สิ่งที่ผมพูดออกมายิ่งรังให้เธอร้องไห้หนักขึ้น ผมโอบกอดเธอเข้าไว้แนบอก ซับน้ำตาที่ยังไหลลงมาไม่ขาดสายให้เธอเบา ๆ ..
“แต่งงานกับผมนะ”
เธอคงแทบจะช็อคกับคำพูดผมในขณะนั้น แต่ผมตระหนักดีว่าเวลาของเราสองคนเหลือไม่มากแล้ว ฉะนั้น ผมย่อมไม่ปล่อยเวลาให้มันผ่านไปเปล่า ๆ แน่ ทุกนาทีของผมในขณะที่ได้อยู่ใกล้ชิดเธอจึงมีค่านับยิ่ง..
ไม่มีอะไรที่เป็นสื่อบ่งบอกแทนที่ความรักในขณะนั้นของผมได้นอกจากขอบฝาของคอขวดน้ำเปล่าขวดนึงที่วางอยู่ใกล้ ๆ ผมรีบถอดแกะขอบฝาที่คอขวดนั่นออกมา ก่อนจะค่อย ๆ บรรจงสวมลงนิ้วนางข้างซ้ายของยีอย่างแผ่วเบา..
“หลวมไปหน่อยนะ”
“แต่ผมสัญญาว่าจะหาอันที่เหมาะกับนิ้วคุณให้โดยเร็วที่สุด”
เธอเหมือนสะอึกอะไรบางอย่างจุกล้นคอหอย สีหน้าอุทานเธอตื่นตระหนกราวยิ่งเหลือเชื่อ ผมบรรจงจรดริมฝีปากตัวเองลงบนปากบางเรียวน้อยของเธออย่างรวดเร็ว ก่อนที่จะบดขยี้ลิ้มรสจูบกับเธออย่างหนักหน่วง..
จูบแรกที่ผมผมโหยหามาชั่วชีวิต...
....
..
ช่วงเวลาแห่งความสุขเราเริ่มจากนั้น ผมไปเลือกชุดวิวาห์พร้อมกับยี สีหน้าของเราสองคนเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม ฝันร้ายผ่านพ้นไปแล้ว เวลาที่เหลือของเรานี้ จักมีแต่วันที่ฟ้าใสสวยงามต่อ ๆ ไป ไม่มีอะไรที่มันสายไปสำหรับผมกับยีจริง ๆ และนี่คือผลของการที่ผมได้พิสูจน์ตัวเอง...
ค่ำวันนั้น เราฉลองการแต่งงานเงียบ ๆ กันแค่สองคนในห้องสูทหรูบนโรงแรมแห่งหนึ่งริมแม่น้ำเจ้าพระยา..
..
....
ผมกอดเอวยีไว้อย่างหลวม ๆ จากทางด้านหลัง สายตาสองเรามองผ่านออกกระจกกั้นด้านหน้าอย่างมีความสุข แสงไฟยามค่ำคืนระยิบระยับดาษดื่นไปทั่วเมืองกรุง ราวกับเหมือนจะมาร่วมอวยพรให้กับคืนแห่งความชื่นมื่นนี้..
“ผมรักคุณจัง”
ผมกระซิบอย่างแผ่วเบาที่ริมข้างหูยี หน้าที่แดงระเรื่อของเธอจากฤทธิ์ไวน์ยิ่งแดงกล่ำเร้าอารมณ์ผมมากขึ้นไปอีก ..
“ขอโทษนะคะ”
เธอพูดเหมือนพึมพัมกับผมอย่างแผ่วเบา แต่ผมกลับเอื้อมมือค่อย ๆ ไปวางแตะริมฝีปากเธอไว้..
“ชู่ว!!”
“ห้ามพูดอะไรทั้งนั้น”
ผมก้มกระซิบพูดต่อเบา ๆ ที่หู ก่อนที่จะละไล้ลิ้นพรมระดมสูดกลิ่นกายเธอไปทั่วซอกแก้ม เธอหันหน้าเอนข้างขึ้นรับฝีปากของของผม ลิ้นสองเราถูกเกี่ยวกระหวัดแลกราวเป็นเนื้อเดียวกัน..
...
ชุดวิวาห์เธอถูกผมปลดลงช้า ๆ ทุกอย่างภายใต้เสื้อผ้าของเธอเด่นเป็นสง่าตรงหน้า ผมอุทานเบา ๆ ถึงเรือนร่างที่ยังสวยงามล้นของเธอ แม้จะดูซูบตอบไปสักนิด แต่สำหรับผมแล้ว เธอเหมือนราวเทพธิดาน้อย ๆ ที่คงสวยงามเหลือยิ่งค่าที่สุด...
ผมเริ่มปล่อยอารมณ์ไปตามจังหวะ ทุกสิ่งแผ่วเบาลูบไล้ราวธรรมชาติ เสียงเธอครางกระเส่าเบา ๆ ยิ่งเร้าปลุกความกำหนัดผมให้ถึงขีดสุด และก่อนที่จะ...
“ไม่ได้ค่ะ”
“ยีจะเห็นแก่ตัวไปมากกว่านี้ไม่ได้”
ผมรู้แล้วว่าเธอต้องห้ามผมอย่างแน่นอน ผมหยิบอะไรบางอย่างออกจากระเป๋ากางเกงที่วางไว้ด้านข้างออกมา และเอ่ยกับเธอว่า..
“คุณวางใจเหอะ”
ผมชูกล่องถุงยางอนามัยนั่นให้เธอดู ก่อนจะทำเหมือนฉีกถุงออกและจัดการสวมอย่างรวดเร็ว..
“ไม่มีอะไรต้องกังวลแล้วนะ”
ผมค่อย ๆ ชำเหลือบแรกเข้าไปอย่างช้า ๆ สิ่งที่ผมเฝ้าตามหามาชั่วชีวิต บัดนี้ผมได้ครอบครองมันแล้ว ผมกอดเธอแนบแน่นไว้กับอ้อมกอดพร้อมขยับตัวละไล้อย่างเป็นจังหวะ เล็บเธอจิกเกร็งกดแน่นลงบนหลังผม ตัดกับเสียงเธอร้องครางระส่ำที่ก้องอยู่ในโสตประสาทของผมไปทั้งคืน..
......
...
“เป็นอะไรไปน่ะ”
ผมกอดกระหวัดร่างอันเปล่าเปลือยของเธอจากทางด้านหลัง จากที่เสียงเธอร้องสะอื้นไห้ไม่หยุด ได้ปลุกผมตื่นเมื่อกี้..
“นึกเสียใจเหรอที่เป็นของผมแล้ว”
เธอส่ายหัวก่อนจะระร่ำระส่ำพูดกับผมว่า..
“เมื่อคืนคุณไม่ได้ป้องกันใช่ไหม”
ผมยิ่งโอบเธอแน่นขึ้นอย่างอ่อนโยน ก่อนจะพูดขึ้นเบาๆกับเธออย่างอารณ์ดี..
“เป็นผัวเมียกันแล้ว ถ้าผมยังมัวป้องกันอยู่ก็เหมือนไม่ให้เกียรติกันนะสิ”
เธอปล่อยโฮมาอีกระลอก โผหันกลับมาซบกอดผมแน่บแน่น ปากพร่ำบอกหาว่าผมโง่.. ด่าว่าผมอีกสารพัดนานา.. แต่ผมกลับยิ้มกริ่มพร้อมกอดเธอไว้แน่น ไอ้ที่ผมอาจจะโง่จริงหรือเปล่า ผมไม่รู้นะ .. ผมรู้เพียงอย่างเดียวว่าชั่ววินาทีนี้ผมรักเธอเป็นที่สุด..
รักเธอคนเดียว....
.....
...
---
ผมย้อนมองดูร่างอันสงบของเธอบนเตียงอีกครั้ง ตาเธอปิดลงสนิทแล้ว ยังคงเหลือเพียงคราบน้ำตาแห้ง ๆ บนปื้นตานั้น สองมือผมยังกุมเธอไว้แนบแน่น ความรักของเราฟันฝ่ามาหลากเยอะเหลือเกิน ..
แต่สำหรับยี เธอจะมีเพียงความทรงจำดี ๆ เหลือไว้ให้ผมเท่านั้น..
ความรักของเรายังจะคงอยู่...
. . . ต ร า บ นิ รั น ด ร . .
อุทิศความรักนี้แด่ ” ยี” และ “ผม” ในเรื่อง
---- 5 มกราคม 2547 -------
โดยคุณ : เหว่ยกัง